#ทีมพละส้มส้ม Vs HIV
ช่วงนี้งานไม่เดิน และสมองก็ตันมาก ๆ คิดอะไรไม่ค่อยออก พอเปิดมาดู Hormone 3 เท่านั้นแหล่ะ ไอเดียก็พุ่งเฉยเลย 555 เพราะเท่าที่จำได้ ผมยังไม่เคยเขียนเรื่อง HIV มาก่อน ก็เลยคิดว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจ
มันเป็นความใจผิดของคนไทยมาแต่นมนานมากแล้ว คือ HIV = AIDs = สิ่งที่น่ารังเกียจ
หลายยุคหลายสมัย สาธารณสุขพยายามรณรงค์ว่า HIV ไม่เท่ากับ AIDs แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคนไทยกลุ่มใหญ่ไปได้ ดังนั้น ต้องขอบคุณผู้จัดทำละครเรื่องนี้ ที่ทำให้คนไทยเข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ และปัจจุบันการติดเชื้อ HIV มียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพมากมายให้เราได้ใช้ ทำให้สามารถลดปริมาณผู้ป่วย AIDs และลดการเสียชีวิตจาก AIDs ได้เช่นกัน
โลกเก่า : เข้าใจว่าการติดเชื้อ HIV เป็นจากการมั่วสุม สำส่อนทางเพศสัมพันธ์
โลกใหม่ : ไม่จริงเลยยยยยย คุณเข้าใจผิดอย่างหนัก เพราะ HIV ติดเชื้อได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งของร่างกายผู้ที่ติดเชื้อต่างหาก นอกเหนือจากเพศสัมพันธ์ ก็กลุ่มพวกใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับผู้ที่ติดเชื้อ หรือแม้กระทั่งเด็กบางส่วนเกิดมาจากมารดาที่ติดเชื้อ HIV *น้ำลายไม่ค่อยพบเชื้อยกเว้นกรณีที่ผู้ติดเชื้อมีแผลในช่องปาก*
โลกเก่า : HIV=AIDs ไม่มีทางหาย ตายอย่างเดียว
โลกใหม่ : HIV เป็นแค่เชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ( RNA virus ) ที่ติดแล้ว จะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง จนเกิดเป็นภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือ AIDs และสุดท้ายลงเอยด้วยการเสียชีวิตจากการติดเชื้อฉวยโอกาส ( Opportunistic infection ) แต่ถ้าผู้ที่ติดเชื้อ HIV ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก และรักษาได้ทันท่วงที ก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่เป็น AIDs สุขภาพร่างกายแข็งแรง เผลอๆ อาจจะมีอายุยืนยาวมากกว่าคนปกติบางคนด้วยซ้ำ
โลกเก่า : ไม่มียารักษา
โลกใหม่ : จะบอกว่ายาเยอะมาก บล็อกทุกกระบวนการแพร่กระจายเชื้อของโรคเลย ไม่เชื่อลองดูแผนภาพนะ
1.Block ตั้งแต่การแย่งจับ receptor กับเชื้อ HIV ที่ตำแหน่ง CCR5 receptor ( Maraviroc ) และ CXCR4 receptor ( Enfuvirtide )
2.ยับยั้งการเปลี่ยนจาก Viral RNA เป็น Viral DNA โดยใช้เอนไซม์ Reverse transcriptase inhibitor ก่อนที่จะเข้าไปใน nucleus ของcell ร่างกาย เช่น NRTI และ NNRTI ที่เราคุ้นเคย
3.ถ้าให้กลุ่ม Reverse transcriptase inhibitor แล้วไม่ทัน Viral DNA เข้ามาใน nucleus เตรียมที่จะอาศัย DNA ของ cell ร่างกายมาใช้ในการเพิ่มจำนวนของตัวเอง โดยอาศัยเอนไซม์ Integrase เราก็มียายับยั้ง Enzyme ตัวนี้คือ Integrase inhibitor ( Raltegravir )
4.ไม้ตายตายสุดท้าย เมื่อตัว virus แบ่งตัวได้ แล้วเตรียมที่จะออกนอกcellที่คิดเชื้อแล้ว ไปแพร่กระจาย cell อื่นต่อ เราก็จะยั้บยั้งไม่ให้มันออกไปได้ คือ ยากลุ่ม Protease inhibitor ที่เราก็คุ้นเคยเช่นกัน
เห็นไหมครับว่า ต่อให้ตัวเชื้อใช้ท่ายากแค่ไหน เราก็รับมือกับมันได้อยู่
โลกเก่า : ลูกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ HIV ยังไงก็ต้องเป็นไปด้วย
โลกใหม่ : ไม่จริงเสมอไป เดี๋ยวนี้มีเยอะมากที่แม่เป็นลูกไม่เป็น ที่มาตรวจทางรพ. ก็เพราะระบบการฝากครรภ์ทุกที่จะตรวจเลือดประเมินการติดเชื้อก่อนการฝากครรภ์อยู่แล้ว แล้วถ้าตรวจพบว่ามีเชื้อ เราก็จะรีบให้มารดาทานยาต้านเชื้อไวรัสทันที แล้วนัดตรวจเลือดติดตามระดับไวรัสในเลือด( Viral load ) รวมถึงระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย ( CD4 ) เป็นระยะ โดยระหว่างนี้ต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการทานยาของมารดาด้วย
โดยก่อนทำการคลอด ทีมแพทย์เอง ไม่ว่าจะเป็นสูติแพทย์ และ กุมารแพทย์ จะต้องมีการประเมินว่ามารดาเป็นกลุ่มไหน เช่น กลุ่ม High risk ( มารดากินยาไม่สม่ำเสมอ , ระดับ Viral load ก่อนคลอด >50copies/ml , เริ่มยาต้านไวรัสก่อนคลอดช้า ไม่ถึง 4 สัปดาห์ก่อนคลอด ) หรือ กลุ่ม Low risk ( ตรงกันข้ามกับ High risk ทั้งหมด 555 ขี้เกียจพิมพ์อ่ะ )
*เกือบลืมบอกไป พอช่วงที่เข้า In Labor หรือกระบวนการคลอด คุณหมอสูติ เขาก็จะให้ AZT ในระหว่าง Process นี้ด้วย ( ป้องกันหลายชั้นมากกกกก)
เมื่อประเมินได้แล้วว่ามารดาเป็นกลุ่มไหน เด็กคลอดออกมาปุ้ปก็จะได้กินยาต้านไวรัสทันที โดยอย่างที่บอก เราไม่ไว้ใจไวรัสตัวร้ายตัวนี้ ต่อให้มารดากินดี สม่ำเสมอ ระดับภูมิคุ้มกันรวมถึงระดับไวรัสดี เราก็อดที่จะป้องกันต่อไม่ได้
- High risk เราจะเริ่มยา 3 ตัวแบบจัดเต็ม ทั้ง AZT+3TC+NVP ทานต่อเนื่องอย่างน้อย 6 สัปดาห์
- Low risk เราจะให้ยาแค่ตัวเดียว คือ AZT ทานอย่างน้อย 4 สัปดาห์
หลังจากนี้ หมอเด็กก็จะติดตามเรื่อง PCR HIV DNA ตอนช่วงอายุ 1เดือน และ 4 เดือน ( โดยถ้าเป็นกลุ่ม High risk จะถูกตามที่ 2 เดือนด้วย ) ถ้า + รอบแรก คือตอนอายุ 1 เดือน เด็กอาจจะต้องทำการรักษาต่อเลย แต่ ถ้าผลเป็น - รอบแรก ก็จะสังเกต อาการ โดยระหว่างนี้อาจไม่ต้องทานยาต้าน แต่จะทานยาป้องกันเชื้อฉวยโอกาสหรือ Bactrim เท่านั้น รอตรวจเลือดเป็นระยะ ถ้าผลเป็นลบอีกครั้งตอน 4 เดือน ถือว่าปลอดภัย แต่ถ้าผลตอน 1 เดือนกับตอน 4 เดือน ดูไม่แน่ใจ แพทย์จะทำการรักษาไปก่อน จนอายุประมาณ 12-18 เดือน จะมีการ confirm ด้วยการตรวจ Anti-HIV อีกรอบ เป็นตัวตัดสินครั้งสุดท้าย
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเด็กได้รับเชื้อจากแม่ ทานยาสม่ำเสมอ รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง พวกเขาก็คือเยาวชนของชาติที่เข้มแข็งและมีศักยภาพ ไม่ยิ่งหย่อนกว่าคนที่ไม่มีเชื้อเลย
ขอบคุณรูปภาพจาก Hormones3 - The final season และ http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0165614711001398?_rdoc=1&_fmt=high&_origin=gateway&_docanchor=&md5=b8429449ccfc9c30159a5f9aeaa92ffb
ฉันชื่อ TRISHA NELSON ฉันติดเชื้อเอชไอวีใน 2O16 ฉันได้รับแจ้งจากแพทย์ว่าไม่มีทางรักษาเอชไอวีได้ ฉันเริ่มใช้ ARVs CD4 ของฉันคือ 77 และปริมาณไวรัสคือ 112,450 ฉันเห็นเว็บไซต์ของดร. เจมส์และฉันเห็นข้อความรับรองมากมายเกี่ยวกับวิธีที่เขาใช้ยาสมุนไพรเพื่อรักษาเอชไอวี ฉันติดต่อเขาและบอกปัญหาของฉันเขาส่งยาสมุนไพรมาให้ฉันและฉันก็ใช้เวลา 3 สัปดาห์หลังจากนั้นฉันไปตรวจสุขภาพและฉันก็หายจากเอชไอวี ยาสมุนไพรของเขาไม่มีผลข้างเคียงและง่ายต่อการดื่มไม่มีอาหารพิเศษใด ๆ เมื่อทานยาสมุนไพรของดร. เจมส์ เขายังรักษาโรคเบาหวาน, โรคมะเร็ง HPV, ALS, โรคตับ, โรค KIDNEY, HERPES และอื่น ๆ อีกมากมาย คุณสามารถติดต่อเขาได้ที่ ... drjamesherbalmix@gmail.com
ตอบลบ