DKA
เพื่อนๆ เคยบ้างไหมที่อยากจะเขียน หรืออยากจะแชร์เรื่องบางอย่าง ที่เราอยากเขียนมันมาก แต่เราไม่เขี่ยวชาญด้านนั้น ( ก็คนมันอยากเขียนอ่ะ ) เอาเป็นว่าผมจะเขียนไปก่อน แล้วถ้าใครที่ได้อ่านแล้วคันปากอยากแก้ บอกผมได้เลย ผมจะเรียนรู้ด้วย 555
ผมจะเขียนในกรณีของผู้ป่วยเด็กนะครับ อาจจะมีบางอย่างที่อาจจะต่างจากของผู้ใหญ่บ้าง
DKA ( Diabetic Ketoacidosis )
กลไกหลักของการเกิด DKA :
1.เกิดจากการที่ร่างกายขาด insulin ทำให้ไม่สามารถดึง glucose เข้ามาใช้เป็นพลังงานได้ ร่างกายจึงตอบสนองโดยการสร้างน้ำตาลเพิ่มมากขึ้นผ่านกระบวนการ glycogenolysis และ gluconeogenesis ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มมากขึ้น--> diabetic
2.ต่อให้น้ำตาลสูงขึ้น ร่างกายก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้น ร่างกายจึงหาพลังงานจากอย่างอื่น นั่นก็คือไขมัน เกิดกระบวนการ lipolysis และเกิดกระบวนการสร้าง ketone ขึ้น(ketogenesis)-->Keto
3.แน่นอนว่าการสลายไขมัน สิ่งที่เกิดตามมาคือ hypertriglyceridemia และ free fatty acid ที่เพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้เกิดภาวะ acidosis เพิ่มขึ้น-->acidosis
4.เมื่อมีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ก็ยิ่งขับออกทางปัสสาวะมาก glucosuria --> osmotic diuresis ดึงเอาตัว Na, K, PO4 ทำให้มีปัญหา electrolyte imbalance และ dehydration ได้มาก
อาการแสดง :
1.ผู้ป่วยจะมีภาวะขาดน้ำ อาจมีความดันต่ำ ชีพจรเต้นเร็ว อาจมีภาวะ shock ได้
2.Acidosis มาก ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจหอบลึก เรียกว่า Kussmaul breathing
3.อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ซึมลงได้
การวินิจฉัย :
1.Diabetic - blood sugar > 200 mg/dl
2.Ketosis - plasma beta-hydroxybutyrate >,= 3 mmol/L and/or Urine ketone >,=2+
3.Acidosis - HCO3 < 15 mmol/L or venous pH < 7.3
Severity :
1.Mild : HCO3 < 15 mmol/L, venous pH < 7.3, Dehydration 3-5%
2.Moderate : HCO3 < 10 mmol/L, venous pH < 7.2, Dehydration 5-7%
3.Severe : HCO3 < 5 mmol/L, venous pH < 7.1, Dehydration 7-10%
Investigation :
1.ตรวจเพื่อวินิจฉัย และให้การรักษา : Blood sugar, Plasma beta-hydroxybutyrate and Urine ketone, Venous blood gas, Electrolyte, Ca, Mg, PO4, Albumin, EKG ( ประเมินภาวะ hypo and hyperkalemia เบื้องต้น เพราะต้องรอผล lab สักระยะ )
2.ตรวจหาปัจจัยกระตุ้น : CBC, Hemoculture, UA, Urine culture, CXR
3.ตรวจเพื่อให้การวินิจฉัย DM type1 : HbA1C, Insulin, C-peptide, Anti-GAD, IA2
Management :
1. Initial rehydration : ในกรณีที่ไม่ได้มีภาวะ shock (ถ้าshockก็loadingได้เลย) เริ่มให้ 0.9%NaCl 10ml/kg/dose in 1 hr หลังจากนั้นจึงมีการปรับ IV fluid ตาม degree ของ dehydration แต่ต้องแก้ใน 48 ชั่วโมง คือ maintenance + deficit/2 - initial rehydration or loading โดย limit fluid ไม่ควรเกิน 2 เท่าของ maintenance เพราะมีโอกาสเกิด cerebral edema ได้
โดยหลังจากให้ IV fluid 0.9%NaCl ประมาณ 4-6 ชั่วโมง เราแนะนำให้เปลี่ยน IV fluid เป็น 0.45%NaCl เพื่อลดการเกิดภาวะ Hyperchloremic metabolic acidosis
และถ้าตาม monitor น้ำตาลแล้ว ได้ 250-300 mg/dl สามารถปรับ IV Fluid เป็น 5%dextrose in 0.45%NaCl ได้
NPO. เราจะทำกรณีที่เป็น moderate and severe DKA
2. Insulin : ในผู้ป่วยเด็ก เราจะไม่มีการ bolus iv RI เด็ดขาด เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลลดลงเร็วเกินไป จนเกิด cerebral edema และ hypokalemia อย่างรวดเร็ว เพราะถึงอย่างไรก็แล้วแต่ การให้แค่ Initial rehydration ก็สามารถลดระดับน้ำตาลได้ 50-200 mg/dl อยู่แล้ว
เราจะเริ่ม drip RI หลังจาก initial rehydration 1 ชั่วโมง โดยเราจะผสม RI 50 unit + 0.9%NaCl 50 ml ซึ่งจะทำให้เมื่อเรา drip 1 ml = RI 1 unit และก่อนให้ เราควรมีการปล่อยทิ้งผ่าน infusion set ประมาณ 30 ml เพื่อให้ insulin ไป saturate กับ plastic ของinfusion set
โดยการเริ่ม drip เราจะเริ่มที่ 0.1 unit/kg/hr ในเด็กที่มีอายุ > 5 ปี ส่วนเด็กที่มีอายุ <5 ปี เราจะเริ่มที่ 0.05 unit/kg/hr ซึ่งการ drip RI สามารถทำให้ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ 50-100 mg/dl/hr โดยเราจะคง rate RI ไว้ ให้ระดับน้ำตาลอยู่ระหว่าง 150-250 mg/dl อย่าเพิ่ง off หรือลด RI drip จนกว่าจะ out of DKA (หาย acidosis และ plasma beta-hydroxybutyrate < 1 mmol/L) ถ้าเกิดน้ำตาลในเลือดลดลงน้อยกว่า 150mg/dl ให้ปรับ %Dextrose ใน IV fluid ขึ้นเป็น 7.5-12.5% ไปเลย ( ถ้า<70mg/dl พิจารณาbolus 10%glucose 2 ml/kg และปรับ %dextrose เพิ่มขึ้น
ถ้า out of DKA ไปแล้ว สามารถ shift เป็น insulin subcutaneous แต่เราจะให้ก่อน off Insulin drip ตาม onset ของชนิด insulin ที่เราให้ เช่น ถ้าเป็นกลุ่ม rapid acting 15-30 นาที, Short acting เช่นกลุ่ม RI 30-60 นาที โดยdose ละ 0.25-0.5 unit/kg/dose q 6 hr เมื่อครบ 24 ชั่วโมง เราสามารถปรับตาม regimen ที่เราต้องการให้ในผู้ป่วยได้
3.Na : เนื่องจาก mechanism ที่กล่าวไปข้างต้น ผู้ป่วยสามารถมีปัญหาเรื่อง Hyponatemia ได้อย่างไรก็ตามควรต้อง correct Na ที่ถูกต้องด้วย เพราะการมี Hyperglycemia and Hypertriglyceridemia มีโอกาสเกิด Pseudohyponatemia ซึ่งวิธีการ correct ง่ายๆ คือ น้ำตาลในเลือดที่มากกว่า 100 mg/dl ทุกๆ 100 mg/dl Na จะเพิ่มขึ้นครั้งละ 1.6 mmol/L
4.K : ถ้าวัดแล้วค่า K < 5.5 mmol/L ควรต้อง add K 40 mEq/L in IV fluid แต่ถ้ามากกว่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้อง supplement แต่ต้องตาม lab เป็นระยะๆ
ในกรณีที่ K < 2.5 mmol/L ให้แก้ K ก่อนการให้ insulin drip
ซึ่งรูปแบบ อาจแบ่งให้เป็น KCl + K2HPO4 เพื่อลดการเกิด Hyperchloremic ด้วย
5.HCO3 : อาจไม่มีความจำเป็น ยกเว้นกรณี life threatening hyperkalemia or Severe Acidosis ที่ pH<6.9
6.P :ในภาวะDKA Pจะวัดได้ค่าสูงหรือปกติได้ แต่เมื่อเริ่มมีการ drip insulin --> P ในเลือดก็จะวิ่งเข้า cell เกิด P ในเลือดต่ำ ซึ่งถ้าต่ำมากๆ ก็จะมีอาการไม่ว่าจะเป็น muscle weakness, Respiratory failure, Cardiac arrhythmia ตามมาได้ แต่บางคนก็กังวลว่า ถ้าให้ P อาจส่งผลทำให้เกิด hypocalcemia ตามมาได้
ดังนั้น เราจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ แต่จำเป็นต้อง follow up lab ต่อเนื่อง
7.หา precipitating cause แล้วให้การรักษาที่เหมาะสมด้วย
อันนี้เป็นแนวทางการ treatment ในช่วง Acute phase ซึ่งกลไกของเบาหวาน มันไม่ได้จบลงแค่นี้หรอก แต่คนเขียน เขียนไม่ไหวแล้วต่างหาก
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ ข้อมูลได้จาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น