Bipolar disorder Vs โรคขาดจิตสำนึกดี
สวัสดีอีกครั้งนะครับ ช่วงหลังมานี้ ผมหยิบเรื่องเครียดมาหลายเรื่องแล้ว ขอพักเบรคเรื่องเครียด ๆ มาเปลี่ยนเป็นบทความสบาย ๆ กระเซ้าเย้าแหย่คนในวงการการเมืองกันดีกว่าครับ
พอดีว่าช่วงนี้ได้ยินว่ามีคนทั่วไป วินิจฉัยโรคให้กับท่านนายกหญิง ประเทศกุ๊กกู๋ ว่าเป็น Bipolar Disorder ด้วยความที่เราเป็นแพทย์ที่ดี เลยอยากจะให้ข้อมูลให้กับผู้อ่านโดยทั่วไป ได้รับทราบถึงตัวโรคที่แท้จริง เป็นอย่างไร และสงสารผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ กลัวจะถูกเข้าใจผิดไปด้วย ว่าเป็นโรคโกหกหลอกลวง สงสารจริง ๆ ครับ
Bipolar disorder ( โรคอารมณ์สองขั้ว )
สาเหตุ
โรคพวกนี้ ไม่ได้เป็นโรคเสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด โปรดอย่าเข้าใจผิด !!!
โรคพวกนี้ ไม่ได้เป็นโรคเสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด โปรดอย่าเข้าใจผิด !!!
โรคนี้เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของสมองและสารเคมีในสมอง ซึ่งส่งผลทำให้การสื่อสารของเซลล์ประสาทแปรปรวนต่างหาก
อาการ
โรคนี้ผู้ป่วยจะมีความผิดปกติทั้งทางด้านอารมณ์ ความนึกคิด และ พฤติกรรมที่แสดงออกมา โดยจะเปลี่ยนแปลงไปจากปกติอย่างชัดเจน แบ่งเป็นช่วง ๆ เช่น บางช่วงเวลาก็เป็นอาการซึมเศร้า ( depression ) ตามด้วยช่วงเวลาที่เป็นปกติ ซึ่งอาจจะปกติเป็นปี แล้วมีอาการคึกคัก พลุ่งพล่าน ( mania ) ได้
ย้ำว่าต้องเป็นช่วงเวลาจริง ๆ เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน ไม่ใช่อารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นวินาที อย่างที่ท่านนายกหญิง ประเทศกุ๊กกู๋เป็น
อาการในระยะซึมเศร้า เช่น
1.ซึมเศร้า เบื่อหน่าย ความสนใจหรือความเพลิดเพลินใจในสิ่งต่าง ๆ ลดลงอย่างมาก
2.รู้สึกตนเองไร้ค่า เป็นภาระแก่ผู้อื่น
3.นอนไม่หลับ หรือ นอนมากกว่าปกติ ( แต่ถ้าไปนอนfive season แล้วหลับได้ดี ก็ไม่ใช่ Bipolar นะ )
4.เชื่องช้าหรือกระวนกระวาย
5.อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง
6.สมาธิลดลง ลังเลใจ
7.คิดอยากตาย
8.เบื่ออาหาร ผอมลง
อาการในระยะแมเนีย
1.มีอารมณ์ครึกครื้น แสดงออกอย่างเต็มที่ หรือ อารมณืหงุดหงิดมากเกินปกติ
2.รู้สึกว่าตนเองเก่งหรือมีความสำคัญมาก
3.ต้องการนอนลดลง
4.ความคิดพรั่งพรู แล่นเร็ว
5.มีพลัง มีกิจกรรม โครงการต่าง ๆ มากมาย
6.วอกแวก สนใจไปทุกสิ่งทุกอย่าง
7.หุนหันพลันแล่น ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย
8.พูดมาก หรือ พูดไม่หยุด
9.ไม่ตระหนักว่าตนเองผิดปกติไปจากเดิม
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยที่มีอาการอยู่ในระยะซึมเศร้า จะรับรู้ถึงความผิดปกตินี้ได้ แต่เมื่ออยู่ในระยะแมเนียเอง ผู้ป่วยมักจะคิดว่าตนเอง ปกติ เพราะกระฉับกระเฉง มีความกระตือรือร้นอยากทำโน่นนี่ ฟังเหมือนจะดี แต่ก็คล้าย ๆ กับกลุ่มผู้ป่วยสมาธิสั้น คือไม่สามารถจดจ่อที่จะทำอะไรนาน ๆ วอกแวกง่าย ทำให้งานไม่สำเร็จ
แนวทางการรักษา
โดยหลักแล้วจะรักษาได้ด้วยยา พร้อมกับแพทย์จะต้องให้คำปรึกษาทางจิตใจ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยปรับตัวเข้าสู่สังคมได้ และจัดการกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้
1.การรักษาในระยะอาการกำเริบ
ระยะแมเนียเอง นิยมใช้ยากลุ่ม Lithium , Valproate , Carbamazepine
ระยะซึมเศร้า นิยมใช้ยา SSRIs , TCAs
โดยทั่วไปหากผู้ป่วยเป็นครั้งแรก หลังจากที่เริ่มให้การรักษาจนกลับมาสู่อาการปกติ ควรจะต้องทานยาต่อไปอีกจนครบ 6 เดือน แล้วค่อย ๆ ลดยาลงจนหยุด ใช้ระยะเวลาเกือบปี
แต่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาได้บ่อย คือ หลังทานยาประมาณ 1-2 เดือน อาการผู้ป่วยดีขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่คิดว่าอาการหายดีแล้ว จึงหยุดยา ซึ่งถ้ายังรักษาได้ไม่ครบ และหยุดยาเอง มีโอกาสกำเริบซ้ำสูง และถ้าอาการกำเริบแล้ว การทานยาก็ต้องนานขึ้นด้วย กว่าจะทำให้อารมณ์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
2.การป้องกัน
การทานยาอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยสามารถคุมอาการได้ดี รวมถึงป้องกันการกำเริบครั้งต่อไปได้ด้วย
ในช่วงเริ่มมีอาการแมเนีย ให้เลี่ยงการตัดสินใจที่สำคัญ ๆ หาหลักการควบคุมการใช้เงิน เช่นฝากเงินไว้กับภรรยา หลีกเลี่ยงสถานการณืที่กระตุ้นอารมณ์มาก ๆ ให้คนใกล้ชิดและญาติคอยเตือนเมื่อเห็นว่าตนเองอาจมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
ในช่วงที่มีอาการซึมเศร้า อย่ากดดันตัวเองให้ทำสิ่งต่าง ๆ ได้เหมือนเดิม ช่วงนี้ทั้งร่างกายและจิตใจต้องการพักผ่อนมากขึ้น อย่างกระตุ้นตนเองมากเกินไป เพราะจะทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ เมื่อทำอย่างที่หวังไม่ได้
ดังนั้น ผมขอยืนยันด้วยเกียรติของแพทย์ GP ขอยืนยันว่า ท่านนายกหญิงประเทศกุ๊กกู๋ ไม่ได้เป็นโรค Bipolar อย่างแน่นอนครับ สงสารผู้ป่วย Bipolar เถอะครับ อย่าเหมารวม เพราะว่าพวกเขาเองมีการเปลี่ยนแปลง ทางอารมณ์ ความคิด และ พฤติกรรม ที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจทำให้มันเกิดขึ้น
และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง โรคนี้มีแนวทางการรักษาที่สามารถทำให้ผู้ป่วยหายขาดชัดเจน แต่สำหรับ ท่านนายกหญิงแห่งประเทศกุ๊กกู๋ นั้น ผมว่า คงไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ครับ เพราะโรคที่ท่านเป็นนั้น มันฝังลึกมาก ๆ จนไม่สามารถเยี่ยวยาได้ โรคนั้นชื่อว่า "โรคขาดจิตสำนึกดี " ครับ
ปล. บทความนี้ไม่ได้กล่าวพาดพิงใครโดยตรง เพราะเป็นแค่บุคคลที่เอ่ยขึ้นแบบปลอมๆ ทำนองเดียวกับ ม็อบปลอม ชาวนาปลอมนั่นหล่ะครับ
ปล.2 อย่าทำอะไรผมเลย ผมถอยจนสุดหมอนแล้วครับ !!!
1.มีอารมณ์ครึกครื้น แสดงออกอย่างเต็มที่ หรือ อารมณืหงุดหงิดมากเกินปกติ
2.รู้สึกว่าตนเองเก่งหรือมีความสำคัญมาก
3.ต้องการนอนลดลง
4.ความคิดพรั่งพรู แล่นเร็ว
5.มีพลัง มีกิจกรรม โครงการต่าง ๆ มากมาย
6.วอกแวก สนใจไปทุกสิ่งทุกอย่าง
7.หุนหันพลันแล่น ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย
8.พูดมาก หรือ พูดไม่หยุด
9.ไม่ตระหนักว่าตนเองผิดปกติไปจากเดิม
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยที่มีอาการอยู่ในระยะซึมเศร้า จะรับรู้ถึงความผิดปกตินี้ได้ แต่เมื่ออยู่ในระยะแมเนียเอง ผู้ป่วยมักจะคิดว่าตนเอง ปกติ เพราะกระฉับกระเฉง มีความกระตือรือร้นอยากทำโน่นนี่ ฟังเหมือนจะดี แต่ก็คล้าย ๆ กับกลุ่มผู้ป่วยสมาธิสั้น คือไม่สามารถจดจ่อที่จะทำอะไรนาน ๆ วอกแวกง่าย ทำให้งานไม่สำเร็จ
แนวทางการรักษา
โดยหลักแล้วจะรักษาได้ด้วยยา พร้อมกับแพทย์จะต้องให้คำปรึกษาทางจิตใจ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยปรับตัวเข้าสู่สังคมได้ และจัดการกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้
1.การรักษาในระยะอาการกำเริบ
ระยะแมเนียเอง นิยมใช้ยากลุ่ม Lithium , Valproate , Carbamazepine
ระยะซึมเศร้า นิยมใช้ยา SSRIs , TCAs
โดยทั่วไปหากผู้ป่วยเป็นครั้งแรก หลังจากที่เริ่มให้การรักษาจนกลับมาสู่อาการปกติ ควรจะต้องทานยาต่อไปอีกจนครบ 6 เดือน แล้วค่อย ๆ ลดยาลงจนหยุด ใช้ระยะเวลาเกือบปี
แต่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาได้บ่อย คือ หลังทานยาประมาณ 1-2 เดือน อาการผู้ป่วยดีขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่คิดว่าอาการหายดีแล้ว จึงหยุดยา ซึ่งถ้ายังรักษาได้ไม่ครบ และหยุดยาเอง มีโอกาสกำเริบซ้ำสูง และถ้าอาการกำเริบแล้ว การทานยาก็ต้องนานขึ้นด้วย กว่าจะทำให้อารมณ์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
2.การป้องกัน
การทานยาอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยสามารถคุมอาการได้ดี รวมถึงป้องกันการกำเริบครั้งต่อไปได้ด้วย
ในช่วงเริ่มมีอาการแมเนีย ให้เลี่ยงการตัดสินใจที่สำคัญ ๆ หาหลักการควบคุมการใช้เงิน เช่นฝากเงินไว้กับภรรยา หลีกเลี่ยงสถานการณืที่กระตุ้นอารมณ์มาก ๆ ให้คนใกล้ชิดและญาติคอยเตือนเมื่อเห็นว่าตนเองอาจมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
ในช่วงที่มีอาการซึมเศร้า อย่ากดดันตัวเองให้ทำสิ่งต่าง ๆ ได้เหมือนเดิม ช่วงนี้ทั้งร่างกายและจิตใจต้องการพักผ่อนมากขึ้น อย่างกระตุ้นตนเองมากเกินไป เพราะจะทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ เมื่อทำอย่างที่หวังไม่ได้
ดังนั้น ผมขอยืนยันด้วยเกียรติของแพทย์ GP ขอยืนยันว่า ท่านนายกหญิงประเทศกุ๊กกู๋ ไม่ได้เป็นโรค Bipolar อย่างแน่นอนครับ สงสารผู้ป่วย Bipolar เถอะครับ อย่าเหมารวม เพราะว่าพวกเขาเองมีการเปลี่ยนแปลง ทางอารมณ์ ความคิด และ พฤติกรรม ที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจทำให้มันเกิดขึ้น
และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง โรคนี้มีแนวทางการรักษาที่สามารถทำให้ผู้ป่วยหายขาดชัดเจน แต่สำหรับ ท่านนายกหญิงแห่งประเทศกุ๊กกู๋ นั้น ผมว่า คงไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ครับ เพราะโรคที่ท่านเป็นนั้น มันฝังลึกมาก ๆ จนไม่สามารถเยี่ยวยาได้ โรคนั้นชื่อว่า "โรคขาดจิตสำนึกดี " ครับ
ปล. บทความนี้ไม่ได้กล่าวพาดพิงใครโดยตรง เพราะเป็นแค่บุคคลที่เอ่ยขึ้นแบบปลอมๆ ทำนองเดียวกับ ม็อบปลอม ชาวนาปลอมนั่นหล่ะครับ
ปล.2 อย่าทำอะไรผมเลย ผมถอยจนสุดหมอนแล้วครับ !!!
ขอบคุณรูปภาพจาก http://m.tnews.co.th/news.php?hotID=71411
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น