เมื่อฉันปากเบี้ยว ( for MD )

จริง ๆ วันนี้ตั้งใจจะเขียนเรื่องการมีบุตรยากและการทำเด็กหลอดแก้ว โดยอาศัยประสบการณ์ของพี่สาวมาเขียน แต่คงต้องขอเวลาไปสัมภาษณ์ให้เจาะลึกกว่านี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวค่อยมาเล่าสู่กันฟัง อิอิ หวังว่าคงจะถูกใจกันนะครับ โดยเฉพาะปัญหาที่ไม่กล้าถามหมอสูติ แล้วเก็บความคับข้องใจมาถามผม 5555 (ฉันจะรู้ไหมเนี่ยT^T)

วันนี้เลยหยิบเอาเคสผู้ป่วยที่เจอมา มาเล่าให้ฟัง ต้องบอกอย่างนี้ก่อนนะครับ ว่าตัวผมเองเป็นเพียงแค่แพทย์ใช้ทุนตัว(ไม่)เล็ก ๆ อยู่รพ.ชุมชนขนาด 30 เตียง เพราะฉะนั้น เคสอาจจะไม่ได้แปลกมาก ดังนั้น การเจอผู้ป่วยมุมปากตก แต่ไม่มีแขนขาอ่อนแรง ก็เลยถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจของพยาบาล และพี่ผู้ช่วยในรพ.  รวมถึงแพทย์บางคน ก็คงจะงง หรือลืมไปแล้วว่ามันคืออะไร รักษากันยังไง

ผู้ป่วยรายนี้มาด้วยอาการตอนเช้า ขณะตื่นนอน มีปัญหาดื่มน้ำแล้วน้ำหกจากมุมปากซ้าย ไปส่องกระจก พบว่ามุมปากด้านซ้ายตก ตาซ้ายปิดไม่สนิท ญาติกับผู้ป่วยรีบบึ่งรถมารพ. โดยทางญาติ มาด้วยจุดประสงค์เดียว คือ จะขอใบส่งตัวไปรพ.ศูนย์ในเมือง พี่พยาบาล จึงตามผมลงไปตรวจคนไข้ เมื่อซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด ไม่พบว่ามีแขนขาอ่อนแรง ไม่มีความผิดปกติจากการตรวจระบบประสาทส่วนอื่น รวมถึงระบบหู คอ จมูก ผมจึงได้วินิจฉัยผู้ป่วยว่าน่าจะเป็น Bell's palsy 

ทางญาติก็กังวลว่า ผู้ป่วยจะเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบหรือเปล่า จะต้องไปทำสเกนสมองไหม ผมก็ต้องอธิบาย และ พยายามให้ทางญาติและผู้ป่วยเข้าใจ ถึงพยาธิสภาพ และ ตัวโรค และไม่ลืมยกตัวอย่าง ดารานักแสดงที่เคยเป็นโรคนี้ (วอนแฟนคลับ อย่าโกรธกันเลยนะ ) เช่น คุณโอ อนุชิต หรือ คุณจ๊ะ จิตตาภา ซึ่งอย่างที่เราเห็นนั่นหล่ะ มันไม่ได้น่ากลัว หรืออันตรายอย่างที่หลายคนคิดและสงสัย (ไม่นับรวมภาวะแอบแฝงอย่างอื่นนะ) ใคร ๆ ก็เป็นกันได้ ถ้าอยู่ในภาวะที่อ่อนแอ พักผ่อนไม่เพียงพอ

ตัวโรคจริง ๆ เกิดจากสาเหตุการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 จนทำให้เกิดความเสื่อมของใยประสาท จนมีผลทำให้ไม่สามารถส่งกระแสประสาทไปยังกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าได้ จนทำให้เหมือนใบหน้าเป็นอัมพาตได้ ซึ่งตัวสาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบของเส้นประสาทนั้น ยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเกิดจากเชื้อเริม (herpes simplex) 

ในบทความนี้ ขอพูดเฉพาะ Bell's palsy เท่านั้น ไม่นับรวมการติดเชื้อ (Herpes zoster) หรือ Traumatic facial palsy หรืออื่น ๆ ที่ซับซ้อน 555 

เมื่ออธิบายเสร็จ ก็แนะนำวิธีการรักษา เนื่องจากเรารู้สาเหตุของตัวโรคแล้ว แค่เพียงแก้ตามสาเหตุ (อันนี้เขียนให้ เพื่อน ๆ พี่น้องร่วมอาชีพ ที่อาจจะลืมวิธีการรักษา ถือเป็นการทบทวนไปด้วยกันนะครับ )
1. เรื่องอาการอักเสบและบวมของเส้นประสาท เพียงแต่ทานยาต้านอาการอักเสบกลุ่ม steroid เช่น Prednisolone ให้doseสูงหน่อย ประมาณ 60-80 mg/day  นานประมาณ 7-10 วัน ง่าย ๆ Pred (5)4*3
2.อันนี้แล้วแต่คนนะคับ ตัวผมเอง ชอบให้ Acyclovir เพื่อคลุม Herpes Simplex ไปด้วย แต่ dose อาจจะเพิ่มขึ้นมาหน่อย เป็น 400mg 1*5 นานประมาณ 7-10 วันเหมือนกัน

ที่สำคัญ อย่าลืมเน้นการรักษาแบบประคับประคองด้วย เช่น การใช้น้ำตาเทียมหยอดตา ลดการระคายเคืองจากปัญหาตาแห้งอันเกิดจากการหลับตาไม่สนิท ใช้แว่นตาหรือที่ครอบตา ให้ยาเคลือบกระเพาะ ลดการระคายเคืองจาก prednisolone พร้อมเน้นการบริหารและทำกายภาพใบหน้า เช่น การฝึกยิ้ม แล้วก็ดึงริมฝีปากที่ตกค้างนาน 5 นาที วันละ 3-5ครั้ง รวมถึงการให้กำลังใจ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 2-3 สัปดาห์ และจะหายขาดใน3-4เดือน ถ้ายังไม่ดีขึ้น อาจต้องส่งตรวจเพิ่มเติมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

เพราะฉะนั้นฝากน้อง ๆ แพทย์ทุกคน ช่วยกัน นัดคนไข้เป็นระยะ ๆ ดูอาการและที่สำคัญ ให้กำลังใจมาก ๆ ด้วยนะครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Denver II Part 1

I message VS U message

Sedation in Pediatrics